หลายคนอาจจะเคยได้รู้จักนมผึ้ง หรือ Royal Jelly กันมาแล้วทั้งที่เห็นในรูปแบบแคปซูล แบบสด หรือที่ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการทำเครื่องสำอาง ทั้งครีม โฟมล้างหน้า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
แต่ทำไมนมผึ้ง หรือ Royal Jelly ถึงได้รับความนิยมทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมาวางขายในท้องตลาดมากมาย บทความนี้จะพาไปรู้จักกับที่มาที่ไปของนมผึ้ง ประโยชน์ของนมผึ้งและวิธีการนำนมผึ้งไปใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงร่างกาย
นมผึ้ง คืออะไร?
นมผึ้ง หรือที่หลายคนเรียกทับศัพท์กันว่า รอยัลเจลลี่ (Royal Jelly) นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผึ้งที่มีลักษณะเป็นของเหลวครีมสีขาวคล้ายนม จึงเรียกว่า “นมผึ้ง” ซึ่งเอาไว้เป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนของผึ้งนางพญา เมื่อเก็บนมผึ้งมาแล้วจะมีการนำไปผ่านกรรมวิธีเพื่อให้กลายเป็นผงหรือเกล็ด เช่น การสกัดเย็นหรือ Freeze Dry แล้วนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั่นเอง

ลักษณะของนมผึ้งนมผึ้งตามธรรมชาติมีลักษณะเป็นของเหลวข้นหนืดคล้ายครีมสีขาว แต่เมื่อนำมาทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีการนำมาผ่านกรรมวิธีที่ทำให้แห้งหรือเป็นเกล็ด อาจมีการนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น น้ำผึ้ง (Honey) หรือเกสรผึ้ง (Bee Pollen) เพื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
สารอาหารในนมผึ้ง
ในนมผึ้งประกอบไปด้วยน้ำ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน รวมทั้งวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน โดยเฉพาะโปรตีนพิเศษที่พบในนมผึ้งคือ ไกลโคโปรตีน IX (Glycoprotein IX) และกรดไขมัน 2 ชนิด คือ Trans-10-Hydroxy-2-Decenoic Acid และ 10-Hydroxydecanoic Acid (10-HDA) นอกจากนี้ในนมผึ้งยังประกอบไปด้วยวิตามินบีมากมาย ดังนี้
-
วิตามินบี 1 หรือไทแอมีน
-
วิตามินบี 2 หรือไรโบเฟลวิน
-
วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน
-
วิตามินบี 5 หรือกรดแพนโทเทนิก
-
วิตามินบี 6 หรือไพริด็อกซิน
-
วิตามินบี 7 หรือไบโอติน
-
วิตามินบี 8 หรืออิโนซิทอล
-
วิตามินบี 9 หรือกรดโฟลิก
ซึ่งสัดส่วนของสารอาหารต่างๆ ที่พบในนมผึ้งคือ สัดส่วนของน้ำอยู่ที่ 60-70% สัดส่วนของโปรตีนอยู่ที่ 12-15% สัดส่วนของน้ำตาลอยู่ที่ 10-16% สัดส่วนของไขมันอยู่ที่ 3-6% สุดท้ายคือวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน มีสัดส่วนที่ 2-3%

ประโยชน์ของนมผึ้ง
-
ช่วยต้านการอักเสบ และลดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ที่เกิดจากความไม่สมดุลของอนุมูลอิสระและการต้านออกซิเดชั่นในร่างกาย และยังพบว่านมผึ้งสามารถช่วยยับยั้งสารเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งหลั่งจากเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
-
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ (Heart Diseases) ได้ด้วย โดยโปรตีนเฉพาะที่พบในรอยัลเจลลีช่วยให้ระดับไขมันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับไขมันที่ไม่ดี LDL ลดลง
-
ช่วยสมานแผลรวมถึงรักษาอาการอักเสบบนผิวหนัง เนื่องจากในนมผึ้งมีสารต้านแบคทีเรีย Trans-10-Hydroxy-2-Decenoic Acid ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและราบางชนิด
-
ช่วยลดความดันโลหิต เนื่องจากโปรตีนเฉพาะที่พบในนมผึ้ง ช่วยให้กล้ามเนื้อเรียบบริเวณหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงคลายตัว ทำให้ความดันโลหิตลดลง
-
ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด และความไวต่ออินซูลิน โดยนมผึ้งจะช่วยลดความเครียดออกซิเดชั่นและการอักเสบ ทำให้น้ำตาลลดลง
-
ช่วยให้สมองแข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ที่ช่วยเรื่องความจำ ช่วยลดความเครียดและซึมเศร้า
-
ช่วยเรื่องภาวะตาแห้ง โดยนมผึ้งที่รับประทานเข้าไปจะช่วยผลิตน้ำตาในต่อมน้ำตา จึงช่วยลดอาการตาแห้งลงได้
-
ช่วยลดเลือดริ้วรอยแห่งวัย โดยนมผึ้งจะเข้าไปช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนและโปรตีนในชั้นผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสง UV
-
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยการต่อต้านเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
-
ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว การอักเสบ โรคทางเดินอาหาร
-
ช่วยรักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากวัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง เช่น ช่วยลดภาวะซึมเศร้า ช่วยลดความวิตกกังวล ลดอาการปวดหลัง
นมผึ้งดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

มีข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษาส่วนประกอบของนมผึ้ง และพบว่าอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยยับยั้งแบคทีเรียหรือต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ Trans-10-Hydroxy-2-Decenoic Acid ในนมผึ้งที่มีประโยชน์มากมาย
ทั้งนี้ทั้งนั้นการศึกษาเกี่ยวกับนมผึ้งก็ยังมีไม่มากพอที่จะการันตีสรรพคุณทั้งหมด หรือจริงๆ แล้วเราอาจได้รับสารอาหารที่อยู่ในนมผึ้งจากแหล่งอื่นก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ในบางคนที่ทานนมผึ้งหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนมผึ้งเป็นส่วนประกอบ อาจเกิดอาการแพ้นมผึ้งได้อีกด้วย
มีด้วยกัน 3 รูปแบบหลัก คือ Royal Jelly แบบสด Royal Jelly ที่ทำให้แห้ง และผลิตภัณฑ์ Royal Jelly ที่มี Royal Jelly ผสมอยู่ โดยนมผึ้งที่ผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง และการสกัดเย็นทำให้ได้สารอาหารครบถ้วนมักจะมาในรูปแบบแคปซูล หรือแบบที่นำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีประโยชน์กับร่างกายอย่างคอลลาเจน กลูต้าไธโอน หรือสมุนไพรอย่างกระชายดำ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของรอยัลเจลลี เช่น ครีมทาหน้า ครีมทาตัว โฟมล้างหน้า
วิธีรับประทานนมผึ้ง
- นมผึ้งสด: รับประมาณประมาณ 1-2 ช้อนชาในตอนเช้าหรือรับประทานร่วมกับน้ำผึ้งเนื่องจากนมผึ้งมีรสเปรี้ยว
- นมผึ้งแบบแคปซูล: มักจะมีปริมาณนมผึ้งอยู่ที่ 500-3000 มิลลิกรัมต่อ 1 แคปซูล ซึ่งเป็นปริมาณนมผึ้งดิบก่อนผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง ดังนั้นขนาดในการรับประทานจะอยู่ที่ 1 แคปซูลต่อวัน ทานหลังอาหารเช้า
ผลข้างเคียงจากการรับประทานนมผึ้ง
- นมผึ้งชนิดเม็ดหรือแคปซูล: โดยปกติแล้วนมผึ้งชนิดเม็ดหรือแคปซูลไม่เป็นอันตรายหากรับประทานอย่างถูกต้อง คือ ไม่เกินวันละ 4.8 กรัม ระยะเวลา 1 ปี แต่สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้รุนแรง การทาน Royal Jelly อาจทำให้อาการของโรคกำเริบได้
- นมผึ้งแบบทาผิว: โดยปกติแล้วปลอดภัยหากใช้อย่างถูกวิธี แต่ในบางคนอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เกิดผื่น หรือเกิดอาการอักเสบของผิวหนังได้
ข้อควรระวังในการรับประทานนมผึ้ง
- เนื่องจากส่วนประกอบหลักของนมผึ้งคือโปรตีน จึงอาจทำให้ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากนมผึ้งเกิดอาการแพ้ได้ ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้กินและใช้ทา โดยอาจจะเกิดผื่นคันหรืออาการหอบหืดได้ อีกทั้งยังอาจได้รับผลจากโรคที่ติดมากับผึ้งหากใช้ผลิตภัณฑ์จากนมผึ้งที่ไม่ได้มาตรฐาน
- เนื่องจากนมผึ้งได้มาจากผึ้ง ดังนั้นผู้ที่มีภูมิแพ้ผึ้ง เกสรผึ้ง หรือมีภูมิแพ้อากาศ จึงไม่ควรทานหรือทาผลิตภัณฑ์ที่มีนมผึ้ง
- ผู้ที่ห้ามรับประทานและใช้ผลิตภัณฑ์นมผึ้งคือ ผู้ที่มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้รุนแรง และผื่นแพ้สัมผัส
นมผึ้งเป็นผลผลิตที่ได้จากธรรมชาติ มีสารอาหารและวิตามินต่างๆ มากมาย ทำให้มีนักวิจัยสนใจศึกษาคุณสมบัติของนมผึ้งมานานหลายปี และพบว่ามีคุณประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ อย่างหลากหลาย สำหรับผู้ที่สนใจในคุณสมบัติของนมผึ้งและอยากลองเริ่มรับประทานนมผึ้ง ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน เพื่อป้องกันอาการแพ้รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง
ที่มา Credit: https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/royal-jelly.html